Friday, June 3, 2011

ทริปเที่ยวจอร์แดน (Jordan) - บทนำ

ในที่สุดบล๊อกทริปท่องเที่ยวจอร์แดนก็ได้ฤกษ์เปิดตัวหลังจากที่ใช้เวลาเขียนร่วม 1 เดือน สำหรับ 7 ตอน .... เป็นการเขียนที่ค่อนข้างยากเพราะไม่ได้ plan การเที่ยวด้วยตัวเอง ดังนั้นข้อมูลที่เอามาเขียนก็ได้จากการจดและจำจากที่ไกด์เล่าให้ฟังบวกกับ google อีกเยอะ เพราะการเที่ยวประเทศในแถบคาบสมุทรอาหรับนั้นมีประวัติศาสตร์อันยาวนานที่ไม่เคยรู้มาก่อนมากมาย

นอกจากนั้น การเขียนในครั้งนี้ก็ไม่ตรงกับ concept ของบล๊อก 'ทริปเที่ยวเอง' นี้สักเท่าไร เพราะเป็นการไปกับ Tour Agent ที่ชื่อว่า Romantic Travel & Service Co., Ltd. (เบอร์โทร 02 539 3355) ซึ่งเป็นทัวร์ที่ส่งลูกทัวร์ไปให้ Tour Agent ที่พาเที่ยวอีกทีชื่อว่า Pearl Vacations (เบอร์โทร 02 291 7888) เป็นทริปเที่ยวจอร์แดนแบบเจาะลึก 7 วัน เที่ยวตั้งแต่ภาคเหนือถึงภาคใต้รวม 7 เมือง แต่ถ้านับวันที่เที่ยวเต็มๆ แค่ 5 วัน อีก 2 วันเดินทางไปและกลับ ราคา 57,000 บาท ยังไม่รวมค่าทิปไกด์ 2 คนและคนขับรถ ค่านั่งลา ค่าทิปคนขับรถที่พาเที่ยวในทะเลทราย ค่าทิปเวลาเข้าห้องน้ำบางแห่ง และจิปาถะอื่นๆ ประมาณสองพันกว่าบาท

ทริปนี้เดินทางตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน ถึง 5 พฤษภาคม 2554 ซึ่งเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิต่อฤดูร้อน อุณหภูมิประมาณ 9-25 องศาเซลเซียส ดังนั้นอากาศจึงยังเย็นสบาย แต่แดดค่อนข้างแรง เพราะว่าท้องฟ้าใสมากๆ บางวันไม่เห็นเมฆสักก้อนเลย


มีคนสงสัยว่าทำไมถึงเลือกไปประเทศจอร์แดน คำตอบก็คืออยากไปนครเพตรา (Petra) นั่นเอง เป็นนครโบราณที่มีอายุกว่า 2,000 ปี ดังนั้นต่อให้มีข่าวเกี่ยวกับความไม่สงบใน Middle East ไม่ว่าจะเป็น Libya หรือ Syria ก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกที่ต้องการจะไปลดลงแม้แต่น้อย


ประเทศจอร์แดนมีชื่อเรียกเต็มๆ ว่า ราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน (The Hashemite Kingdom of Jordan) มีพรมแดนทางทิศตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ติดกับประเทศซาอุดิอาระเบีย (Saudi Arabia) ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับประเทศอิรัก (Iraq) ทางทิศเหนือติดกับประเทศซีเรีย และทางทิศตะวันตกติดกับประเทศอิสราเอล (Israel) จอร์แดนเป็นประเทศที่เกือบไม่มีทางออกสู่ทะเล มีชายฝั่งทะเล Red Sea ร่วมกับประเทศอิสราเอล เนื้อที่ของประเทศเล็กกว่าเมืองไทยประมาณ 5 เท่า จำนวนประชากรก็น้อยกว่าประมาณ 10 เท่า





ประเทศจอร์แดนแบ่งการปกครองออกเป็น 12 เขตผู้ว่าราชการ (governorates) ดังข้างล่างนี้ โดยมีอัมมาน (Amman) เป็นเมืองหลวง

- อัจลูน (Ajlun)
-
อัมมาน (Amman)  เมืองหลวงของประเทศจอร์แดน
-
อะกาบา (Aqaba)
-
บัลกา (Balqa)
-
อีร์บิด (Irbid)
-
จีรัช (Jerash)
-
กะรัก (Karak)
-
มะอาน (Ma'an)- มะดะบา (Madaba)
-
ตาฟีละห์ (Tafilah)
-
ซาร์กา (Zarqa)


พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายเกือบ 80% อากาศแห้งและมีแสงแดดแรง มีลมตลอดทั้งวัน

จอร์แดนเป็นแหล่งผลิตแร่ฟอสเฟตที่สำคัญของโลก ระหว่างที่เดินทางจะเห็นการทำเหมืองโดยตลอด นอกจากนั้น ช่วงนี้ที่ไปจะเห็นการวางท่อขนส่งน้ำจากทะเลทรายไปสู่เมืองหลวงขนานกับถนนสายหลักเกือบตลอดเส้นทาง


สกุลเงินของจอร์แดนเรียกว่า จอร์แดน ดีน่าร์ (Jordan Dinar, JD) อัตราแลกเปลี่ยนช่วงที่ไป 1 JD ประมาณ 1.47 USD หรือ 44 บาท โดยแลกเงินบาทเป็น USD ที่เมืองไทยก่อน จากนั้นไปแลกเป็น JD ที่สนามบิน


เนื่องจากสถานที่เที่ยวมีหลากหลายแบบ ตั้งแต่ทะเลทรายจนถึงทะเล ดังนั้น ควรเตรียมตัวและเสื้อผ้าให้เหมาะสม ควรมีเสื้อแจ๊กเก็ตกันหนาว ผ้าคลุม แว่น หมวก หรือร่มสำหรับกันแดด ชุดว่ายน้ำ แต่น้ำหนักต้องไม่เกิน 20 กิโลกรัมนะ


เอาหล่ะ พร้อมจะออกเดินทางกันหรือยัง

ทริปจอร์แดน (Jordan) - วันแรก 30 เมษายน 2554

29 เมษายน มีนัดเจอกับไกด์คือคุณเป้ กิตติศักดิ์ ที่สนามบินสุวรรณภูมิเวลา 22:00 น. เพื่อเดินทางด้วยสายการบิน Royal Jordanian เที่ยวบินที่ RJ 183 ใช้เวลาบินประมาณ 8.5 ชั่วโมง ถึงสนามบิน Queen Alia เมืองอัมมาน (Amman) ประเทศจอร์แดนเวลาประมาณ 05:15 น. เนื่องจากเวลาที่ประเทศจอร์แดนช้ากว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมง

พอขึ้นเครื่องไปได้ประมาณ 1 ชั่วโมง ก็มีการเสิร์ฟอาหารจริงจังให้ทาน มีให้เลือกระหว่างไก่ ปลา หรือเนื้อ เสิร์ฟพร้อมข้าว ส่วนตอนเช้าใกล้จะถึงก็มีขนมปังเสิร์ฟให้อีกครั้ง


ประมาณ 05:15 น. ถึงสนามบิน Queen Alia ที่เมืองอัมมาน (Amman) สนามบินนี้มีขนาดเล็ก แต่กำลังทำการก่อสร้างเพื่อขยายใหญ่อยู่ Queen Alia เป็นพระนามพระมเหสีองค์ที่ 3 ของกษัตริย์ฮุสเซ็น (Hussein) ปัจจุบันกษัตริย์ที่ปกครองประเทศจอร์แดนคือ กษัตริย์อับดุลลาห์ที่ 2 (King Abdullah II)


Visa เข้าประเทศจอร์แดนจะเป็นแบบ Upon Arrival ซึ่งทัวร์ทำให้เสร็จไม่ต้องเสียเวลารอแม้แต่น้อย หลังจากผ่านการตรวจคนเข้าเมืองและรับสัมภาระแล้วก็ตรงไปโรงแรม Golden Tulip Grand Palace เพื่อทานอาหารเช้าซึ่งเป็นบุฟเฟ่ต์แบบ American Breakfast และอาหารพื้นเมืองบางอย่าง มีสลัดหลายอย่าง และที่ขาดไม่ได้มีแทบจะทุกมื้อคือ มะเขือเทศสด


ในระหว่างรับประทานอาหารก็ได้มีโอกาสเห็นหน้าค่าตาของคณะที่ไปด้วยกัน มีกันแค่ 14 คนเท่านั้นเอง ขนาดกำลังพอดี หลังจากอิ่มท้องกันแล้วก็เริ่มต้นการเที่ยวอย่างแท้จริง ด้วยการเดินทางไปเมืองมะดะบา (Madaba) ซึ่งห่างจากเมือง Amman ประมาณ 30 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง (คนขับรถขับช้ามาก แทบอยากจะเข้าไปขอขับให้แทน)



แผนที่ประเทศจอร์แดนพร้อมตำแหน่งของเมืองต่างๆ

Madaba หรือที่รู้จักกันว่าเป็นเมืองแห่งโมเสก (City of Mosaics) เป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งขายโมเสกของประเทศ เป็นเมืองเดียวในจอร์แดนที่มีชาวคริสต์อยู่เยอะ มากกว่าชาวมุสลิมซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ประชากรเมืองนี้มีอยู่ประมาณแสนกว่าคน

สถานที่สำคัญของเมือง Madaba คือโบสถ์เซนต์จอร์จ (St. George) ตัวโบสถ์เดิมเป็นโบสถ์กรีก ออโธดอกซ์ ที่ถูกสร้างขึ้นในราว ค.ศ. 600 ซึ่งเป็นยุคไบแซนไทน์ (Byzantine) คือยุคที่โรมันนับถือศาสนาคริสต์แทนการบูชาเทพเจ้าโรมันแบบเดิม ส่วนตัวโบสถ์ในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นราวปี 1896 เหนือซากโบสถ์ไบแซนไทน์ดั้งเดิม



ภายนอกโบสถ์เซนต์จอร์จ


ภายในโบสถ์ที่เต็มไปด้วยรูปวาดและภาพโมเสกสมัยใหม่รายรอบมากมาย เป็นภาพพระเยซู พระแม่มารี และนักบุญต่างๆ  รวมทั้งภาพนักบุญเซนต์จอร์จ

นักบุญเซนต์จอร์จ ตามตำนานเล่าว่าท่านเป็นทหารโรมันที่ได้รับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิแห่งโรมันให้ทำหน้าที่สังหารหมู่ชาวคริสต์ แต่เขากลับวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจอันโหดร้ายของจักรพรรดิ และสารภาพว่าตัวเองก็เป็นชาวคริสต์ด้วย ดังนั้นจึงถูกฆ่าบั่นคอ การยอมสละชีวิตเพื่อสิ่งที่เขาเชื่อมั่นนั้นทำให้ชาวคริสต์บูชาเขาในฐานะผู้สละตนเพื่อศาสนา นอกจากนี้ ยังมีตำนานของเซนต์จอร์จและมังกร ซึ่งต่อมากลายเป็นภาพสัญญลักษณ์ของนักบุญเซนต์จอร์จขี่ม้าสีขาวปราบมังกร นักประวัติศาสตร์จำนวนมากในภายหลังระบุว่าภาพดังกล่าวเป็นเพียงรูปแบบเทพนิยายของคริสต์ศาสนาเท่านั้น

ภาพนักบุญเซนต์จอร์จขี่ม้าขาวปราบมังกร


โบสถ์นี้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักด้วยภาพโมเสกแผนที่กรุงเยรูซาเร็มและดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ (Mosaic Map of the Holy Land) ตั้งแต่แม่น้ำจอร์แดน (ทางซ้ายสุดของแผนที่) ถึงพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ (Nile Delta) แผนที่นี้ถูกสร้างในสมัยไบแซนไทน์ ประกอบด้วยชิ้นโมเสกขนาดเล็กๆ ร่วม 2 ล้านชิ้น บนพื้นโบสถ์ ภาพของเดิมมีขนาด 15.6 x 6 เมตร ปัจจุบันเหลืออยู่แค่ 1/4 เท่านั้น เนื่องมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ภาพแสดงที่ตั้งของเมือง หมู่บ้าน แม่น้ำ ภูเขา และทะเล

โมเสกเริ่มในสมัยกรีก ประมาณ 500 ปีก่อน ค.ศ. แต่มารุ่งเรืองอย่างมากสมัยคริสต์กาล โดยพวกไบแซนไทน์



ภาพบนเป็นภาพแผนที่โดยรวม แต่ถ่ายได้ไม่หมดเพราะหน้ากล้องจำกัด ภาพที่สองเป็นภาพซูมของกรุงเยรูซาเร็ม ส่วนภาพที่สามเป็นแผนที่วาดจำลองโมเสกทั้งหมด

จากนั้นเดินทางไปชม เมาท์ เนโบ (Mount Nebo) ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที Mount Nebo เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่บนภูเขาซึ่งเชื่อกันว่าน่าจะเป็นที่เสียชีวิตและฝังศพของโมเสส (Moses) ว่าแต่ว่าโมเสสผู้นี้เป็นใครและมีความสำคัญอย่างไร สำหรับคนที่ไม่เคยเรียนในโรงเรียนคริสต์หรือไม่ได้ดูเรื่องบัญญัติ 10 ประการมาก่อนอาจจะไม่รู้จัก น้องๆ ในทริปบางคนถึงกับจำสับสนระหว่างโมเสกกับโมเสส

โมเสสเป็นผู้นำศาสนาของชนชาติยิว เป็นชาวอิสราเอลที่โชคชะตาทำให้ถูกเลี้ยงดูเป็นเจ้าชายแห่งอียิปต์จนกระทั่งเติบใหญ่ อยู่มาวันหนึ่งได้พลั้งมือฆ่าชาวอียิปต์ที่กำลังตีคนอิสราเอล จึงทำให้ต้องหลบหนีออกจากเมืองไป จนกระทั่งถูกเรียกตัวโดยพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงปรากฏต่อหน้าโมเสสเพื่อให้เป็นผู้นำชาวอิสราเอลให้ออกจากอียิปต์ไปยังดินแดนคานาอัน (หรือเยรูซาเร็มในปัจจุบัน) อันเป็นดินแดนที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับอับราฮัมว่าจะยกให้แก่พงศ์พันธุ์ของท่าน ระหว่างการเดินทางอันยาวไกลนั้นได้มีเหตุการณ์สำคัญๆ ที่แสดงถึงปาฏิหารย์ของพระผู้เป็นเจ้าผ่านโมเสส หนึ่งในนั้นคือ การแหวกทะเลแดงออกเพื่อหนีจากกองทหารอียิปต์ที่ติดตามมาล่าชาวอิสราเอลกลับไปเป็นทาสดังเดิม ครั้งนี้ พระเจ้าทรงให้โมเสสชูไม้เท้าขึ้นเหนือน้ำ ทำให้ทะเลแดงแหวกออกเป็นทางเดินให้ชาวอิสราเอลเดินข้ามไป แต่เมื่อกองทัพอียิปต์จะข้ามตาม ทะเลก็กลับคืนดังเดิมและท่วมกองทัพอียิปต์ตายไปเสียทั้งหมด ทั้งหมดนี้คือช่วง 1,200 ปีก่อนคริสตกาล


ที่ Mount Nebo จะมีเต๊นท์แสดงภาพโมเสกขนาดใหญ่ 2 อัน และภาพโมเสกที่สำคัญอื่นๆ ในประวัติศาสตร์ และยังมีพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กที่แสดงภาพโมเสกที่เป็นคำจารึกและอื่นๆ สิ่งของต่างๆ ที่ขุดพบภายในบริเวณนี้ รวมถึงภาพถ่ายต่างๆ ภาพที่สำคัญคือภาพที่โป๊บ จอห์น ปอลที่ 2 เสด็จมาแสวงบุญที่นี่และได้ประกาศให้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ในปี ค.ศ. 2000



หนึ่งในภาพโมเสกชิ้นใหญ่ในเต๊นท์ เหลือส่วนที่สมบูรณ์แค่ประมาณครึ่งเดียว


ภาพโมเสกตัวอักษรและรูปต่างๆ

ออกจากพิพิธภัณฑ์ก็ไปดูจุดชมวิวซึ่งสามารถมองเห็นทะเลเดดซี (The Dead Sea) ได้ไกลๆ และชมอนุสรณ์ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์แห่งโมเสส ซึ่งถูกออกแบบเป็นรูปไม้กางเขนที่มีงูพัน งูถือเป็นสัตว์ที่มีบทบาทมากมายในศาสนาคริสต์




หลังจากดูภาพโมเสกกันมามากมาย ไปดูวิธีการทำโมเสกที่ School of Mosaic กันดีกว่า วิธีการทำโมเสกเริ่มจากการตัดหินสีๆ เป็นชิ้นเล็กๆ ตามขนาดที่ต้องการ จากนั้นก็แปะกาวแล้วมาวางบนลายที่ร่างไว้บนแผ่นผ้า ด้านที่หงายขึ้นมานั้นที่จริงเป็นด้านล่างของภาพจึงจะยังดูไม่เรียบและไม่แน่น ต้องเอาซีเมนต์มาฉาบผิวอีกครั้งแล้วคว่ำลง จากนั้นก็เอาน้ำร้อนมาราดเพื่อลอกแผ่นผ้าออก เป็นอันเสร็จ

ภาพโมเสกชิ้นสำคัญที่มีการผลิตเยอะมากเพราะเป็นภาพศิริมงคลคือภาพ Tree of Life (ดังภาพข้างล่าง) เป็นภาพต้นไม้ใหญ่ที่มีกวาง 3 ตัว กวางตัวหนึ่งกำลังถูกสิงโตกัดอยู่ ภาพนี้แสดงถึงสิ่งต่างๆ ทั้งหลายในโลกล้วนต้องพึ่งพากันเป็นวัฏจักรนั่นเอง นอกจากนี้ ยังมีการทำโมเสกในรูปแบบต่างๆ หากซื้อจากที่นี่จะได้ราคาถูกกว่าซื้อจากที่อื่น 20% - 30% และรายได้บางส่วนจะเข้าการกุศล



ภาพโมเสก 'Tree of Life'


หลังจากชมและช้อปภาพโมเสกแล้วก็เดินทางต่อไปยังเมืองคารัก (Karak) เพื่อทานอาหารเที่ยงและชมปราสาทคารัก (Karak Castle) มื้อนี้เป็นบุฟเฟ่ต์อาหารพื้นเมืองที่ทำให้ค้นพบเมนูโปรดอยู่เมนูหนึ่งซึ่งอร่อยมากๆ สำหรับคนชอบทานเนื้อแกะ นั่นคือ Mansaf เป็นเนื้อแกะต้มกับโยเกิร์ตและเครื่องเทศ ถ้าดูหน้าตาอาจจะไม่ค่อยน่าทาน คล้ายกับต้มข่าบ้านเราแต่ข้นกว่ามาก แต่รสชาติดีมากๆ เนื้อแกะนุ่ม ไม่มีกลิ่นสาบ ราดกินกับข้าวให้น้ำชุ่มๆ อร่อยล้ำเลอค่า เขียนไปก็กลืนน้ำลายไปด้วยนะเนี่ย ฮ่า ฮ่า มาดูหน้าตากันหน่อย

ไม่ใช่ว่าจะได้กินบ่อยๆ นะ ทั้งทริปได้กินแค่ 2 หรือ 3 ครั้งเท่านั้นเอง


อิ่มท้องแล้วก็ไปเดินชม Karak Castle กัน ปราสาทนี้ตั้งอยู่บนสามเหลี่ยมที่ราบสูงซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 900 เมตร เป็นปราสาทที่สร้างขึ้นในสมัยสงครามครูเสด (Crusade) ในศตวรรษที่ 12 เพื่อปกป้องกรุงเยรูซาเร็ม ก่อนอื่นต้องขอเล่าประวัติสงครามครูเสดอย่างย่อๆ สงครามครูเสดเป็นสงครามศาสนาระหว่างพวกโรมันคาทอลิกและมุสลิมที่กินเวลาเกือบ 200 ปี ในช่วง ค.ศ. 1095 - 1291 ซึ่งตลอดเวลาของสงครามจะมีชนเผ่าอื่นๆ เข้าร่วมรบด้วย เพื่อผลประโยชน์แอบแฝงอื่นที่แตกต่างกันไป บ้างก็เพื่ออิสรภาพจากการเป็นทาส บ้างก็อยากได้พื้นที่ใหม่ แต่สาเหตุหลักของสงครามครูเสดนี้ก็เพื่อแย่งชิงกรุงเยรูซาเร็มและดินแดนศักดิ์สิทธิ์จากพวกมุสลิม คำว่าครูเสด (Crusade) มาจากคำว่า Cross ที่หมายถึงไม้กางเขนนั่นเอง

Karak Castle นับเป็นหนึ่งในปราสาทที่มีขนาดใหญ่ มีความยาวประมาณ 220 เมตร กว้างประมาณ 125 เมตรทางด้านเหนือ และ 40 เมตรทางด้านใต้ จุคนในสมัยนั้นได้ประมาณ 2,000 - 3,000 คน ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1140 เป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างยุโรปไบแซนไทน์ และอาหรับ เดิมทีปราสาทนี้เป็นของพวกมุสลิม ต่อมาถูกยึดโดยชาวคริสต์และตั้งกษัตริย์มาปกครอง ปราสาทนี้นับเป็นป้อมปราการที่แข็งแรงและมีทำเลที่ยอดเยี่ยม ตัวปราสาทถูกสร้างด้วยหินปูน ตัวกำแพงรอบนอกถูกเสริมความแข็งแรงด้วยหอคอยสูง และเจาะแค่ช่องเล็กๆ เพื่อใช้สำหรับยิงธนูสู้กับข้าศึกเท่านั้น นอกจากนี้ ยังล้อมรอบด้วยคูน้ำกว้าง แต่สุดท้ายก็ถูกตีแตกโดยการปิดล้อมให้อดอาหาร ภายในปราสาทประกอบด้วยห้องเล็กใหญ่จำนวนมากมาย ทางเดินภายในสลับซับซ้อน ถ้าไม่เดินตามไกด์ให้ทันอาจจะหลงได้  

ภาพเสี้ยวหนึ่งของ Karak Castle


ภายในตัวปราสาทเป็นห้องโถงยาว ด้านข้างมีห้องเล็กๆ


ห้องครัวพร้อมด้วยอ่างน้ำ ส่วนก้อนกลมๆ ที่มีรูตรงกลาง 2 ก้อนเป็นที่โม่แป้ง

Arrow Slot ช่องแคบๆ สำหรับขึ้นไปยืนยิงธนูสู้กับข้าศึก กระจายอยู่ทั่วกำแพงปราสาท


สามารถเที่ยวชมได้ทั้งภายในและภายนอกปราสาท เดินกันไม่ทั่วเอาเลยทีเดียว


จาก Karak เดินทางต่อไปทางใต้ไปยังเมืองเพตรา (Petra) บนถนนทะเลทราย ตลอดเส้นทางจะมีการทำเหมืองแร่ฟอสเฟตซึ่งเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกที่สำคัญของจอร์แดน

อากาศวันนี้ทั้งวันดีมากๆ เย็นๆ เกือบทั้งวัน ต้องใส่แจ็คเก็ตซะส่วนใหญ่ เลยทำให้ไม่เหนื่อยมากแม้ว่าจะไม่ได้นอนเต็มอิ่มมาบนเครื่องบิน คืนแรกนี้จะพักที่โรงแรม Kings' Way ที่เมือง Petra และทานอาหารค่ำที่ภัตตาคารในโรงแรม ซึ่งเป็นบุฟเฟ่ต์อาหารพื้นเมือง มีข้าวคลุกกับน้ำมัน (คนที่นี่ไม่กินข้าวสวยแบบบ้านเรา ต้องคลุกกับน้ำมันก่อน) มีไก่ เนื้อวัว สลัดหลากหลายอย่าง และอาหารหน้าตาเละๆ หลายจานที่ไม่รู้ว่าทำจากอะไร รสชาติส่วนใหญ่จะออกเปรี้ยว คาดว่าทำจากโยเกิร์ต บางจานก็รสชาติออกมันๆ เหมือนถั่ว ส่วนของหวานไม่ค่อยจะถูกปากเพราะบางอย่างหวานมาก บางอย่างก็จืด ขนาดเยลลี่ยังไม่อร่อยเลย ส่วนใหญ่ก็กินผลไม้เอา ที่เสิร์ฟประจำคือแตงโม

ในวันพรุ่งนี้จะเป็นการเที่ยวที่นครเพตราซึ่งเป็นจุดไฮไลต์ของทริปจอร์แดน จะต้องเดินกันเป็นกิโลๆ ว่าจะรีบเข้านอนแต่ก็ไม่วายไปเดินเที่ยว Spring of Moses เป็นตาน้ำที่เกิดจากโมเสสปักไม้เท้าลงพื้นที่นี้แล้วทำให้เกิดน้ำขึ้นมา แถมด้วยช้อปปิ้งของที่ระลึกที่ร้านแถวโรงแรม

Enough for today ... time to bed now ja zzzzzzzz

ทริปจอร์แดน (Jordan) - วันที่สอง 1 พฤษภาคม 2554

เริ่มต้นเช้านี้ที่เมือง Petra ด้วยอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์อีกเช่นเคย มันอาจจะดูเหมือนๆ กัน แต่หากตั้งใจดูดีๆ จะเห็นว่ามีอาหารบางอย่างแปลกใหม่เพิ่มเข้ามา ถ้าลองกินดูจะรู้สึกว่าอาหารในแต่ละมื้อนั้นไม่เหมือนกัน ซึ่งทำให้การกินอร่อยมากขึ้น เทคนิคการเที่ยวให้สนุกคือต้องกินอาหารพื้นเมืองให้ได้ ยิ่งกินเยอะก็จะมีแรงเดินเที่ยวและรู้สึกสนุกมากขึ้น

เมือง Petra นั้นเดิมเป็นจุดพักและเก็บภาษีสินค้าที่สำคัญของกองคาราวานที่มาจากเปอร์เซีย อียิปต์ ปาเลสไตน์ หรือแม้แต่อินเดียและจีน สินค้าหลักๆ ที่ทำการค้าขายกันได้แก่ กำยานและเครื่องเทศ ในสมัยก่อนกองคาราวานจะสามารถเดินทางได้แค่วันละ 30 กิโลเมตร ตามกำลังของสัตว์ที่ถูกใช้เป็นพาหนะ ดังนั้น จากเมือง Amman ถึง Petra ระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตร ต้องใช้เวลาร่วม 10 วัน จึงจำเป็นต้องมีการสร้างจุดพัก พื้นที่ของ Petra ครอบคลุมทั้งประเทศจอร์แดนและซาอุดิอาระเบีย


จากโรงแรมไปนครเพตราใช้เวลาประมาณ 15 นาที


นครเพตราหรือที่เรียกกันว่า Rose-Red City ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกโดย UNESCO ในปี ค.ศ. 1985 และเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ (New 7 Wonders) เป็นเมืองโบราณที่ถูกสร้างขึ้นโดยการเจาะสลักเข้าไปในหินภูเขา ไม่ว่าจะเป็นวิหาร หลุมศพ บันได โรงละคร ซึ่งขุดสลักตั้งแต่ยอดเขาลงมาเป็นชั้นๆ หลดหลั่นกันอย่างงดงาม แสดงถึงฝีมือและศิลปะในการสลักหินที่ยอดเยี่ยม นอกจากนั้นสีหินที่หลากหลายและแปลกตาก็ยิ่งเพิ่มความสวยงามให้มากขึ้นอีก มีตั้งแต่สีชมพู เหลืองออกน้ำตาล หรือแซมม่วง และที่น่าอัศจรรย์คือ เมืองนี้ตั้งอยู่กลางทะเลทรายที่ต้องอาศัยความสามารถอันเยี่ยมยอดของผู้สร้างในการเซาะหินยาวเป็นหลายพันกิโลเมตรเพื่อสร้างช่องทางลำเลียงน้ำมาจากน้ำพุหรือน้ำฝนสู่แหล่งเก็บน้ำ ผู้สร้างมหานครนี้เป็นพวกนาบาทีน อาหรับ (Nabataean Arabs) ที่เดิมอพยพมาจากเยเมน (Yemen) เมื่อประมาณศตวรรษที่ 3 แต่หลังจากการล่มสลายของอาณาจักรนาบาทีนในปี 106 นครเพตราก็ถูกปกครองโดยพวกโรมันบ้าง ไบแซนไทน์บ้าง อุมัยยะห์บ้าง (Umayyad, ราชวงศ์มุสลิมราชวงศ์แรก ระหว่างปี ค.ศ. 661-750) และแม้แต่พวกครูเสด ด้วยเหตุนี้ เมืองนี้จึงเป็นหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญอย่างมากแห่งหนึ่ง


เมืองนี้ได้สูญหายไปจนกระทั่งถูกค้นพบใหม่ในปี ค.ศ. 1812 โดยนักสำรวจชาวสวิสเซอร์แลนด์ชื่อ Johann Ludwig Burckhardt


นครเพตรามีขนาดกว้างใหญ่มาก ถ้าจะเที่ยวให้ครบถ้วนจริงๆ ควรจะใช้เวลาอย่างน้อย 3 วัน แต่ทัวร์พาไปแค่ครึ่งวัน ดังนั้นจะได้ดูแค่วิหารเดียวคือ The Treasury (Al Khazneh) การเดินเที่ยวในนครเพตรา (เฉพาะที่เราได้ไปเท่านั้น) แบ่งเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ Bab Al-Siq, The Siq และ The Outer Siq ซึ่งเป็นที่ตั้งของตัวนครจริงๆ ด้วยเวลาที่จำกัดทำให้เห็นแค่เสี้ยวหนึ่งของนครนี้เท่านั้นคือ The Treasury (Al Khazneh) และโรงละคร (The Theatre)



เส้นทางเดินเที่ยวในนครเพตรา เริ่มจาก Bab Al-Siq ที่อยู่ทางขวาของแผนที่ 

ส่วนแรก Bab Al-Siq หรือก็คือ Gate to The Siq ในภาษาอาหรับนั่นเอง เริ่มจากปากทางที่ขายตั๋วถึง The Siq โดยจะเลือกเดินหรือนั่งม้าเข้าไปก็ได้ ระยะทางประมาณ 800 เมตร (ค่าม้ารวมอยู่ในตั๋วแต่ต้องจ่ายทิปคนละ 3 USD ให้คนจูงม้า)


Bab Al-Siq เป็นเส้นทางสู่หุบเขาแห่งโมเสส (Valley of Moses) ซึ่งเดิมเคยเป็นเส้นทางน้ำไหลผ่านจาก Spring of Moses สู่ Petra เนื่องจากการกัดเซาะของน้ำจึงทำให้เกิดหุบเขาขึ้นมา ระหว่างทางจะเห็นหินที่ถูกกัดเซาะเป็นรูปร่างแปลกตาต่างๆ หินสี่เหลี่ยมที่ยืนอยู่โดดๆ เรียกว่า Djinn Blocks คำว่า Djinn เป็นชื่อวิญญานของชาวเบดูอิน (Bedouin) ครั้งหนึ่งชาวเบดูอินเคยอาศัยอยู่ในบริเวณนี้จนถึงปี ค.ศ. 1985 พวกเขาเชื่อว่ามีวิญญานอาศัยอยู่ในหินอนุสาวรีย์พวกนี้ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 26 ก้อนทั่วทั้งนครนี้ รอบๆ Djinn Blocks จะมีหลุมศพและถ้ำอยู่

Djinn Blocks

สถาปัตยกรรมที่สำคัญอีกแห่งในบริเวณ Bab Al-Siq คือ Obelisk Tomb & Bab Al-Siq Triclinium สุสาน 2 อันที่ถูกสร้างซ้อนกันจนดูเหมือนเป็นอันเดียวกัน สุสานอันบนมีชื่อว่า Obelisk Tomb คาดว่าถูกสร้างขึ้นก่อนในรูปแบบของชาวอียิปต์ คือเป็นเสา Obelisk (เสาแท่งหินที่มีด้านทั้งสี่ลาดเอียงและมีปลายแหลม) ส่วนอันล่างมีชื่อว่า Bab Al-Siq Triclinium เป็นรูปแบบดั้งเดิมของชาวนาบาทีน ซึ่งจะเห็นห้องแบบนี้ทั่วไปในนครเพตรา ใช้สำหรับการทำพิธีระลึกถึงคนที่ล่วงลับไปแล้ว


Obelisk Tomb & Bab Al-Siq Triclinium


The Tunnel เป็นอุโมงค์น้ำยาว 88 เมตรที่อยู่ด้านหน้าก่อนเข้า The Siq ชาวบานาทีนขุดเจาะเข้าไปในหินเพื่อบังคับน้ำให้ไหลไปอีกทาง ไม่ให้ท่วมเข้า The Siq

จาก Bab Al-Siq ก็มาถึงส่วนที่สองคือ The Siq เป็นทางเดินในหุบเขาที่สวยที่สุด เป็นที่ๆ ประทับใจมากที่สุดในทริปนี้ ระยะทางประมาณ 1,200 เมตร จุดนี้ถ้าเดินไม่ไหวก็สามารถขี่อูฐหรือนั่งรถม้า แต่เชื่อเถอะว่าไม่มีแม้แต่นาทีเดียวที่รู้สึกเหนื่อยหรือเบื่อกับการเดินนี้ ตลอดเส้นทางจะเพลิดเพลินกับวิวหุบเขาที่สูงถึง 80 เมตร หินทราย (sandstone) ที่มีสีชมพูและรูปร่างต่างๆ ให้ดูกันไม่รู้เบื่อ รวมถึงร่องรอยสถาปัตยกรรมต่างๆ โครงสร้างวิหาร และที่บูชาเทพเจ้า เอาเป็นว่าขอเล่าด้วยภาพดีกว่า

ปากทางเข้า The Siq


ทางเดินใน The Siq ที่กว้างประมาณ 3-4 เมตร ตลอดทางมีหินหลากสีโดยเฉพาะสีชมพูที่เป็นเอกลักษณ์ของนครเพตรา ลวดลายและรูปร่างต่างๆ ให้ชม


สิ่งก่อสร้างที่คาดว่าเป็นห้องซึ่งอาจจะสร้างไม่เสร็จหรือถูกทำลายไป ที่มีให้เห็นเป็นระยะๆ


สีสันของหินสีชมพูและเหลืองที่ผสมผสานกันเป็นชั้นหินลวดลายสวยงาม


ร่องน้ำที่ถูกสร้างเซาะเข้าไปในหินตลอดสองข้างทางเพื่อเป็นทางน้ำใช้ในเมืองและป้องกันน้ำท่วม


Niche Monument สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชนพื้นเมืองที่แกะสลักเป็นช่องบนผนังหินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดใน The Siq ด้านขวาเป็นภาพขยายจะเห็นสี่เหลี่ยม 2 อัน และมีแท่งยาวตรงกลาง นั่นคือตาและจมูกของเทพเจ้า


หินสีชมพูที่มีรูปร่างคล้ายช้าง


รูปสลักอูฐและคนขี่อูฐขนาด 1.5 เท่าของขนาดจริง ซึ่งแสดงถึงขบวนคาราวานมากมายที่เข้าออกนครเพตรา

ผนังเขาซึ่งถูกกัดเซาะเป็นวงกลมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดใหญ่ประมาณ 4-5 เมตร และมีชั้นหินอันงดงาม 


ระหว่างทางที่เดินจะมีตำรวจขี่ม้าคอยตรวจตรา

ในที่สุดก็ถึงปลายทางของ The Siq ภาพที่ปรากฎในช่องแคบๆ คือ The Treasury ที่ทำให้ทุกคนต่างเร่งฝีเท้ากันไปดู


ส่วนที่ 3 คือ The Outer Siq เริ่มจาก The Treasury ถึง The Theater

The Treasury เป็นโบราณสถานหินสีชมพูที่ตั้งตระหง่านอยู่ปากทางเข้าตัวนครเพตรา ได้รับอิทธิพลจากศิลปะของกรีกในยุคโบราณที่เรียกว่าเฮเลนนิสติค (Hellenistic) ดังจะเห็นได้จากหน้าจั่ว เสา และประตู คาดกันว่า The Treasury ถูกสร้างเมื่อศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสต์ศักราช แต่ถูกค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1818 โดยนายทหารอังกฤษ 2 นาย จนบัดนี้ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า The Treasury ถูกสร้างเพื่อวัตถูประสงค์อันใด บ้างก็ว่าเพื่อเป็นสุสาน บ้างก็ว่าเป็นวิหาร แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่เป็นที่เก็บสมบัติอย่างที่ชาวเบดูอินเข้าใจผิดจนกระทั่งยิงโกศตรงกลางด้านบนด้วยความต้องการที่จะเอาสมบัติ

ถ้าใครจำได้ ในภาพยนตร์เรื่อง Indiana Jones and The Last Crusade ปี ค.ศ. 1989 สถานที่ที่พบจอกศักดิ์ศิทธิ์ก็คือที่ The Treasury นี้ แต่ในหนังเรียกว่า Canyon of the Crescent Moon

The Treasury ซึ่งมีความสูงกว่า 40 เมตร

The Treasury ในอีกมุมหนึ่งที่แสงตกกระทบอวดหินสีชมพูอันงดงาม ส่วนหลุมๆ ที่เห็นเป็นแนวยาวข้างบนที่ขอบทั้งสองข้างคาดว่าเป็นที่สำหรับช่างไว้เหยียบทำงาน เสียดายที่ไม่ให้เข้าไปดูข้างใน


รูปแกะสลักด้านบนเป็นรูปเทพเจ้าหลายองค์ องค์กลางคาดว่าเป็น Isis เป็นเทพเจ้าของชาวอียิปต์โบราณและยังเป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์


ส่วนข้างล่างเป็นเทพเจ้า Castor และ Pollux มีม้าเป็นพาหนะคู่ใจ ทั้งสองเป็นบุตรฝาแฝดแต่คนละพ่อ Castor เป็นบุตรของ King Tyndareus แต่ Pollux เป็นบุตรของเทพจูปีเตอร์ซึ่งมีความเป็นอมตะ ต่อมา Pollux ได้ขอความเป็นอมตะให้น้องตัวเองเพื่อให้ได้อยู่ด้วยกันตลอดไป โดยทั้งคู่กลายเป็นกลุ่มดาวคนคู่ (Gemini)

จาก The Treasury บนทาง The Outer Siq จะเจอกับสุสานอีกนับไม่ถ้วนที่ขุดเข้าไปในหินหน้าผาเป็นแนวยาวต่อเนื่องเรียกว่า Street of Facades สุสานในบริเวณนี้มีรูปแบบในการออกแบบที่เหมือนกันคือแบบ Assyrian (อัสซีเรียน) ของจักรวรรดิอัสซีเรียในเมโสโปเตเมีย (ซีเรียในยุคโบราณ) มีลักษณะที่เรียกว่า crowstep (ไม่ใช่ตีนกานะ) คือเป็นสามเหลี่ยมขั้นบันได 

จากการที่สุสานในนครเพตรามีรูปแบบที่ต่างกันจากสุสานหนึ่งไปอีกสุสานหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นแบบดั้งเดิมของนาบาทีน หรือเฮเลนนิสติค หรืออัสซีเรียน แสดงในเห็นว่าชาวนาบาทีนเปิดรับอิทธิพลทางด้านสถาปัตยกรรมจากหลายที่

เริ่มต้น Street of Facades

The Outer Siq จะเป็นทางกว้างโล่งไม่เหมือนใน The Siq ทำให้สามารถเห็นวิวในมุมกว้างและยอดหน้าผา


ชั้นสีของหินที่น่าอัศจรรย์ สวยงามมากๆ ส่วนด้านบนจะเป็น crowstep ศิลปะแบบ Assyrian คือมีลักษณะเป็นขั้นบันได 5 อันเล็กๆ เรียงกันอยู่ด้านหน้า ส่วนอันใหญ่ที่อยู่ด้านซ้ายมือเป็น Single-divide crowstep ที่ชาวนาบาทีนคิดแปลงขึ้นมาเพื่อแต่งเติมส่วนบนสุดของผนัง


สุสานมากมายที่ถูกสร้างติดต่อกันเป็นแนวยาวในรูปแบบที่เรียบง่าย ไต่สูงขึ้นไปบนหน้าผาไปยัง The High Place of Sacrifice สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และที่บูชายัญซึ่งตั้งอยู่บนยอดสุดของภูเขา


The Theatre เป็นอัฒจันทร์ครึ่งวงกลมซึ่งถูกสร้างโดยการเจาะสลักเข้าไปในหินเป็นขั้นๆ คาดว่าจุคนได้ประมาณ 5,000 - 7,000 คนในสมัยนั้น สร้างอยู่ท่ามกลางสุสาน บ้างก็สันนิษฐานว่าใช้เป็นสถานที่สำหรับการประกอบพิธีกรรม บ้างก็ว่าเป็นที่แจกจ่ายอาหาร เล่นกีฬา หรือการแสดงรื่นเริงต่างๆ


หินที่นครเพตรามีความสวยงามแปลกตาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ดังจะเห็นได้จากหินก้อนใหญ่ด้านหน้าของรูป เป็นหินหลากสีที่ขึ้นเป็นปุ่มๆ ส่วนบนเพดานในห้องด้านบนก็เป็นลวดลายสีสรรเหมือนหินอ่อน สวยดี

ตรงข้าม The Theatre คือ The Royal Tombs สุสานที่บรรจุกษัตริย์นาบาทีน เป็นแนวยาวจากด้านซ้ายไปขวา


จากนั้น ก็ไปจุดขึ้นลาเพื่อจะขี่ลาออกจากนครเพตราอีกทาง เสียค่าขี่ลาคนละ 15 USD + ค่าทิปคนจูงลาอีกคนละ 2 USD ใช้เวลาประมาณ 40 นาที คนจูงหนึ่งคนจะดูแลลาประมาณ 3-4 ตัว 

วิวขาออกจากนครเพตรา

การขี่ลาเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย อย่าคิดว่าลานั้นจะเป็นสัตว์ที่เชื่องช้าและหง่อยๆ ถ้าไปขี่เอาตัวที่คนจูงเรียกว่า Ferrari แล้วหล่ะก้อ ไม่เป็นอันต้องทำอะไรกันเลยนอกจากจับเชือกให้แน่นที่สุด เพื่อนและเราแจ๊คพอตมากๆ ที่ได้ขี่ Ferrari ทั้งคู่ ตัวที่เราขี่เป็นลาเพศเมียที่ชื่อว่า Waddra อายุ 6 ปี ส่วนเพื่อนได้ขี่ลาเพศผู้ที่ชื่อว่า Jack นอกจากจะเป็น Ferrari แล้วเจ้า Jack เนี่ยก็คอยเกาะ Waddra แจ ตั้งแต่ขึ้นขี่ก็รู้สึกว่าแปลกๆ เพราะเจ้า Jack พยายามเบียดและคอยมอง Waddra ตลอดเวลา แรกๆ ก็ไม่มีอะไร ต่างตัวต่างเดินกันไป แต่เจ้า Jack ก็ไม่ละสายตาเลยนะ จนกระทั่งตอนที่ถึงเนินหิน แทนที่เจ้า Jack จะเดินบนทางปกติที่ลาตัวอื่นเดินกัน ก็ไม่เอาซะงั้น อยู่ๆ ก็เดินขึ้นไปบนเนินตัดหน้าลาตัวอื่นๆ ที่แย่ก็คือเจ้า Waddra ก็ดันวิ่งตามไปอีก เล่นเอาใจหายใจคว่ำแต่ก็สนุกดี หลังจากนั้นก็วุ่นวายไปตลอด เนื่องจากลา 2 ตัวนี้มัน strong (ศัพท์ของคนจูง) มันก็เลยจะคอยวิ่งแซงตัวอื่นให้ได้ พอ Jack วิ่ง Waddra ก็วิ่งตาม เบียดแทรกลาตัวอื่นกระเด็นกันไป ฮ่า ฮ่า ขำเพื่อนก็ขำ ขำตัวเองก็ขำ สนุกมากมาย สุดท้ายคนจูงลาเลยต้องขึ้นขี่เจ้า Jack พร้อมกับเพื่อนแยกไป ส่วน Waddra ก็ถูกจูงตลอดทาง ตอนท้ายคนจูงถึงเฉลยว่า Jack กับ Waddra เป็นแฟนกัน จุ๊บ จุ๊บ ...

ขบวนลาของคณะเรา พอขึ้นลาปั๊บคนจูงก็จะปล่อยเดินไปเอง ยกเว้นลา Ferrari ซึ่งต้องคอยจูงกำกับตลอดทาง

ขอบอกว่าการขี่ลาในครั้งนี้คุ้มและสนุกมากๆ นอกจากจะได้มีโอกาสเห็นวิวทิวทัศน์อีกทางแล้ว การขี่ลา Ferrari ยังเป็นช่วงเวลาในทริปที่ได้หัวเราะมากที่สุด :D

จบนครเพตราอันสวยงามและสนุกมากๆ แต่เพียงเท่านี้ นับเป็นอีกหนึ่งในสถานที่เที่ยวที่ชอบมากๆ และจะอยู่ในความทรงจำตลอดไป หวังว่าวันหนึ่งจะได้เที่ยวที่นี่แบบเต็มรูปแบบรวมถึงการเที่ยวช่วงกลางคืนที่เรียกว่า Petra by Night เป็นการชมนครเพตรายามค่ำคืนที่มีการจุดเทียนร่วม 1,800 อัน ตั้งแต่ทางเดิน The Siq ถึง The Treasury มีทุกวันจันทร์ พุธ และพฤหัส เวลา 20:30 - 22:00 น. เสียค่าเข้าคนละ 12 Jordan Dinars ลอง google ดูรูปภาพจากเว็บอื่น สวยดี

เที่ยงกลับไปกินอาหารบุฟเฟ่ต์ที่โรงแรมซึ่งนอนพักเมื่อคืน จากนั้นไปเที่ยวต่อที่ทะเลทรายวาดิรัม (Wadi Rum) จาก Petra ไป Wadi Rum ใช้เวลา 1.5 ชั่วโมง ตลอดข้างทางเป็นภูเขาหินทรายที่ไม่มีต้นไม้เลย แต่แปลกมากที่สามารถปลูกแตงโมได้ที่ทะเลทราย Wadi Rum นั่นเป็นเพราะใต้ทะเลทรายแห่งนี้มีน้ำใต้ดินซึ่งสามารถใช้ได้อีกนาน 70-80 ปี และด้วยเหตุนี้ จึงได้มีการวางท่อขนส่งน้ำจาก Wadi Rum ไปสู่ Amman

Wadi Rum มีความหมายว่า หุบเขาของภูเขาสูง มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า Pink Desert เมื่อก่อนดินแดนแห่งนี้เคยเป็นทะเลมาก่อน เหมือนที่ Petra แต่เมื่อทะเลหายไปและเจอกับลม ฝน นานวันเข้าก็กลายสภาพเป็นภูเขาทราย ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ ถ้าใครจำได้ ภาพยนตร์เรื่อง Transformer: Revenge of The Fallen, Red Planet และ Lawrence of Arabia ได้เคยมาถ่ายทำที่นี่ เรื่องหลังนี่เด็กสมัยใหม่ไม่รู้จักแน่ Lawrence of Arabia เป็นชาวอังกฤษที่มีตัวตนจริง ถูกส่งมาอยู่ที่นี่โดยรัฐบาลอังกฤษ เพื่อชักชวนให้ชาวอาหรับที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ช่วยอังกฤษรบโดยสัญญาว่าจะให้พื้นที่เพื่อครอบครอง

การเที่ยว Wadi Rum มีหลากหลายวิธี ตั้งแต่นั่งรถกะบะหรือที่เรียกว่า Jeep Tour นั่งบอลลูน ขี่อูฐ Sandboard โดดร่ม เล่นเครื่องร่อน และปีนเขา คณะเราจะนั่งรถกะบะแบบเปิดหลังคาเที่ยว สนุกมากแต่แดดร้อนสุดๆ เพราะท้องฟ้าโปร่งใส ไม่มีเมฆแม้แต่ก้อนเดียว ใช้เวลาเที่ยวประมาณ 2 ชั่วโมง พาชมภูเขารูปร่างแปลกตาต่างๆ ต่อด้วยการปีน Sand dune ชมภาพเขียนแกะสลักก่อนประวัติศาสตร์ และทานอาหารค่ำที่เต๊นท์ชาวเบดูอิน 

ภูเขาแรกที่เห็นเมื่อไปถึงคือ Mount Rum หรือที่มีอีกชื่อว่า Seven Pillars of Wisdom มีความสูง 1,734 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล


Jeep 3 คันของคณะเรา เล่นเอาทั้งตัวแดงไปด้วยทราย แต่ก็สนุกดี


ภาพทะเลทรายอันเว้งว้างจากจุดชมวิว ดูๆ ไปก็มีเสน่ห์ ลึกลับ และน่าตื่นเต้น


รถกำลังแล่นสู่ Sand Dune ที่เห็นเป็นเนินทรายอยู่ทางด้านหน้า


พวกเราเริ่มเดินไต่จากจุดเล็กๆ ข้างล่างที่เห็นรถจอดอยู่ขึ้นไป ความละเอียดของทรายและความชันทำให้การเดินขึ้นยากมากๆ เหยียบลงไปปั๊บเท้าก็จะจมลงไปทันที เทคนิคในการเดินบนทรายที่ค้นพบด้วยตัวเองคือ พยายามเหยียบบนรอยเท้าคนก่อนหน้านี้เพราะทรายจะแน่นขึ้นบ้างแล้ว สำหรับขาลงนั้นสบายมาก แถมสนุกอีก เหยียบลงไปขาจะจมลงไปในทรายเกือบครึ่งน่องได้ มันส์ดี


การขึ้น Sand Dune ในครั้งนี้ทำให้ค้นพบ Super Woman ของทริปนี้คือคุณป้าวัย 74 ปี ผู้ซึ่งสามารถไต่ขึ้น Sand Dune ในจุดที่ไกด์พาขึ้นไปได้ทัดเทียมสาวๆ บางคนยังขึ้นไม่ถึงเลย คุณป้าผู้นั้นคือคนชุดขาว ส่วนคนข้างหน้าคือน้องเจ๋อ เพื่อนที่ถ่ายรูปสวยๆ ให้เราได้ดูในบล๊อกนี้เป็นส่วนใหญ่


พอขึ้นมาเห็นวิวก็หายเหนื่อยไปเลย

 
มุมขวาล่างที่มีคนยืนอยู่คือจุดชมภาพเขียนแกะสลักก่อนประวัติศาสตร์


ภาพเขียนแกะสลักรูปคนกำลังล่านกกระจอกเทศและรูปอูฐ ซึ่งเป็นแค่ส่วนหนึ่งของภาพทั้งหมด


ไม่ใช่ถ่ายภาพไม่ชัดหรือใส่ effect อะไรนะ แต่เป็นจังหวะที่ลมพัดแรงมากทำให้ทรายลอยตลบเป็นฝุ่นควัน


บริเวณแคมป์ของชาวเบดูอินซึ่งเป็นที่ทานอาหารเย็นในวันนี้ ตั้งอยู่ติดเขาและมีห้องน้ำพร้อม


ที่นั่งทานอาหารทั้งแบบในเต๊นท์และนอกเต๊นท์ตามแต่สะดวก ส่วนตัวแล้วชอบมื้อนี้มาก แกะบาร์บีคิวที่นี่รสชาติดีมาก แถมกินไปดูวิวภูเขาไป

ทานอาหารเสร็จก็กลับกันเลย เดากันว่าจะรีบเคลียร์ที่ให้แขกชุดต่อไป ขากลับจะผ่านบริเวณที่สร้างเป็นที่พักในทะเลทรายในรูปแบบแปลกๆ ต่างๆ กันไป แต่ละห้องมีขนาดไม่ใหญ่และเป็นห้องน้ำรวม

จาก Wadi Rum จะมุ่งหน้าลงใต้ไปอะกาบา (Aqaba) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง คืนนี้พักที่โรงแรม Golden Tulip Aqaba เป็นโรงแรมที่สภาพไม่สู้ดี ไม่สมกับ 4 ดาวเลย น้องบางคนบอกว่าเหมือน 2 ดาวครึ่งมากกว่า ฮ่า ฮ่า แต่ดีที่มี Wi-Fi ให้ใช้ฟรี

Done whatapps, now it's time to bed ... zzzzzzz